1.ทำผลงานทางวิชาการ จำนวน 1 เล่ม 4 ชุด
2.รายงานผลการใช้ผลงานทางวิชาการจำนวน 1 เล่ม 4 ชุด
3.สำเนาประวัติการรับราชการ (ก.พ.7) จำนวน 1 ชุด
4.สำเนาวุฒิบัตรการพัฒนาก่อนแต่งตั้ง จำนวน 1 ฉบับ
5.แบบรายงานผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่และผลงานทางวิชาการ
เพื่อขอรับการประเมินมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ (แบบ วฐ.อศ 1)
จำนวน ๑ ชุด
ประเภทของผลงานทางวิชาการ
1. แผนการจัดการเรียนรู้
2. ตำราหรือหนังสือ (แบบเรียน) บทความทางวิชาการ
3. สื่อ นวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์
4. เอกสารประกอบการสอน
5. เอกสารคำสอน
6. รายงานการศึกษาผู้เรียนเป็นรายกรณี (Case Study)
7. รายงานการศึกษาค้นคว้าที่นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
8. รายงานการวิจัยในชั้นเรียน
9. รายงานการศึกษาผลงานของผู้เรียน
10.รายงานการดำเนินการโครงการ หรือการประเมินโครงการ
11.ผลงานอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
1.แผนการจัดการเรียนรู้
หมายถึง เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อวางแผนการสอนในรายวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่ผู้ขอกำหนดได้ระบุไว้ในแบบเสนอขอโดยเป็นแผนที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนตลอดปีการศึกษา หรือแผนที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเป็นรายภาคเรียนรวมกัน 2 ภาคเรียน
2.ตำรา หนังสือ (แบบเรียน) บทความทางวิชาการ
ตำรา หมายถึง เอกสารที่ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะที่ได้เรียบเรียงอย่างมีระบบ องค์ประกอบสำคัญของตำรา
1.คำนำ
2.สารบัญ
3.เนื้อเรื่อง
4.สรุป
5.การอ้างอิงที่ครบถ้วน
หนังสือ (แบบเรียน)หมายถึง เอกสารทางวิชาการหรือกึ่งวิชาการที่ได้เรียบเรียงเป็นระบบ เข้าปก เป็นเล่ม ใช้อักษรพิมพ์และมีการเผยแพร่ เขียนเป็นร้อยแก้ว หรือร้อยกรองก็ได้ เขียนได้หลายรูปแบบ อาทิ เขียนเชิงสารคดี กึ่งบันเทิงคดี เขียนเชิงบันเทิงคดี เป็นนิยาย
องค์ประกอบสำคัญของหนังสือ (แบบเรียน)
1.ส่วนนำ
2.ส่วนเนื้อเรื่อง
3.ส่วนสรุป
บทความทางวิชาการ หมายถึง เอกสารที่เรียบเรียงจากผลงานทางวิชาการของตนเองหรือของผู้อื่นในลักษณะวิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่ ๆ จากพื้นฐานทางวิชาการนั้น ๆ ได้มีการเผยแพร่ในวารสารเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการนั้น บทความวิชาการที่เขียนนั้นเพื่อเป็นความรู้ทั่วไปสำหรับประชาชน อาจใช้ได้บ้าง หากมีคุณค่าทางวิชาการเพียงพอ
องค์ประกอบสำคัญของบทความทางวิชาการ
1.มีตัวความรู้อาจจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น
2.มีการวิเคราะห์ตัวความรู้นั้น
3.มีข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ/ข้อวิจารณ์ของตนเอง
4.บทความนั้นต้องเผยแพร่มาแล้วไม่เกิน 3 ปี
3.สื่อ นวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์
หมายถึง สิ่งพิมพ์ เทคโนโลยีและสื่ออื่น ๆ ที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ อาทิ
- บทเรียนสำเร็จรูป
- บทเรียนสำหรับเรียนด้วยตนเอง
- วีดิทัศน์
- CAI
- หนังสือเสริมประสบการณ์(สำหรับระดับประถมศึกษา)
องค์ประกอบสำคัญของสื่อ นวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์
1.จัดทำถูกหลักวิชาการ
2.มีวิธีพัฒนา
3.มีคำชี้แจงและเหตุผลในการทำ
สื่อสิ่งพิมพ์ที่จัดทำขึ้นจะต้องจัดทำเอกสารประกอบอีก 2 รายการ
1.คู่มือประกอบเพื่อแนะนำวิธีทำและวิธีใช้
2.รายงานการใช้ มีองค์ประกอบ คือบทนำ วิธีดำนินการ ผลการดำเนินการข้อเสนอเพื่อการปรับปรุง
4.เอกสารประกอบการสอน
หมายถึง เอกสาร หรืออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการสอนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรของหน่วยงานการศึกษา มีลักษณะเป็นเอกสารหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในวิชาที่สอน เอกสารประกอบการสอนมีลักษณะสำคัญ คือ ถูกต้องตามรูปแบบของประเภทผลงานอาทิ
1.บทเรียนสำเร็จรูป เป็นบทเรียนที่เขียนครบกระบวนการเรียนการสอน ประกอบด้วย
(1)บทเรียนโปรแกรม
(2)ชุดการเรียน
(3)แผนการสอนที่มีเฉลยและมีการทดสอบ
2.บทเรียนสำหรับเรียนด้วยตนเอง ต้องมีเฉลยคำตอบ
5.เอกสารคำสอน
หมายถึง เอกสารคำบรรยาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้สอนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูรของหน่วยงานการศึกษา
องค์ประกอบสำคัญ มีเนื้อหาสาระคำสอนที่มีความสมบูรณ์กว่าเอกสารประกอบการสอน จัดพิมพ์เป็นโรเนียวก็ได้ แต่ต้องทำเป็นรูปเล่ม
6.รายงานการศึกษาผู้เรียนเป็นรายกรณี (Case Study)
หมายถึง รายงานการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ต้องการศึกษาปัญหา หรือต้องการพัฒนา โดยมีการศึกษาภูมิหลัง จุดเด่น จุดด้อย ตลอดจนความสามารถอย่างเป็นระบบ และมีกระบวนการแก้ไขหรือพัฒนาจนเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วนำมาเขียนเป็นรายงานการศึกษาผู้เรียน องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
1.บทนำ
2.วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
3.วิธีดำเนินการ
4.ผลการดำเนินการ
5.สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
6.บรรณานุกรม
7.ภาคผนวก (เครื่องมือ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ภาพประกอบ (ถ้ามี)
7.รายงานการศึกษาค้นคว้าที่นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
หมายถึง รายงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าของผู้ขอกำหนดตำแหน่ง ซึ่งได้นำไปใช้จัดการเรียนการสอน การจัดทำสื่อ นวัตกรรม การวัดและประเมินผลหรือการซ่อมเสริม โดยมีการค้นคว้า อ้างอิงเป็นระบบทันสมัย และเนื้อหาถูกต้อง สมบูรณ์ตามลักษณะการเขียนรายงานซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ
องค์ประกอบรายงานการศึกษาค้นคว้าที่สำคัญ ดังนี้
1.บทนำ
2.วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
3.วิธีดำเนินการ
4.ผลการดำเนินการ
5.สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
6.บรรณานุกรม
7.ภาคผนวก (เครื่องมือ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ภาพประกอบ(ถ้ามี)
8.รายงานการวิจัยในชั้นเรียน
หมายถึง การแก้ปัญหาในชั้นเรียนโดยมีการศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ปัญหาและวางแนวทางในการแก้ปัญหาและลงมือแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบกับนักเรียนกลุ่มที่สอนเท่านั้น โดยจะทำในระหว่างเวลาปกติ หรือทำการสอนนอกเวลาก็ได้
องค์ประกอบสำคัญเหมือนรายงานการศึกษาค้นคว้าที่นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
1.บทนำ
2.วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
3.วิธีดำเนินการ
4.ผลการดำเนินการ
5.สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
6.บรรณานุกรม
7.ภาคผนวก (เครื่องมือ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ภาพประกอบ(ถ้ามี)
9.รายงานการศึกษาผลงานของผู้เรียน
หมายถึง ผลงานในลักษณะงานศึกษา วิเคราะห์วิจัยผลงานของผู้เรียนที่เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ว่าเป็นผลงานลักษณะใด ประเภทใด ผู้เรียนแสดงออกซึ่งความรู้ทักษะ กระบวนการและเจตคติอย่างไร เพียงใด แล้วเขียนรายงานตามหลักวิชาการ
องค์ประกอบสำคัญเหมือนรายงานการศึกษาค้นคว้าที่นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
1.บทนำ
2.วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
3.วิธีดำนินการ
4.ผลการดำเนินการ
5.สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
6.บรรณานุกรม
7.ภาคผนวก(เครื่องมือ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ภาพประกอบ (ถ้ามี)
10.รายงานการดำเนินโครงการหรือการประเมินโครงการ
หมายถึง รายงานโครงการหรือประเมินโครงการที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ผู้ขอรับการประเมินเป็นผู้คิดริเริ่มเขียนโครงการเสนอต่อหัวหน้าสถานศึกษาและดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จในปีที่ขอรับการประเมิน
องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
1.บทนำ
2.รายละเอียดโครงการและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
3.วิธีการดำเนินงานหรือวิธีการประเมินโครงการ
4.ผลการดำเนินโครงการ หรือการประเมินโครงการ
5.สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
รวมลิงค์เพื่อนบ้าน
คลังบทความของบล็อก
ไฟล์แบบฟอร์ม คศ.3
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ิิิิิิิิิิิิิิ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบบทคัดย่อ
ตอบลบชื่อเรื่อง รายงานการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติและปริมาตร
ของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ผู้รายงาน นางกุสุมา ทองภา ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ
สถานศึกษา โรงเรียนบ้านเหล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3
ปีการศึกษา 2/2559
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติและปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติและปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติและปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติและปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนบ้านเหล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 23 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยจับสลากจากห้องเรียน 2 ห้องเรียน สุ่มมา 1 ห้องเรียน ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิติและปริมาตรของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 8 เล่ม 2) แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อประกอบการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ จำนวน 16 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple Choice) 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ จำนวน 1 ฉบับ มีค่าความยากตั้งแต่ 0.22 ถึง 0.78 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.82 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยค่าสถิติ ที (t-test for dependent sample)